ทำไมการฉีดน้ำเชื้อจึงได้ผลดีกว่าการตั้งครรภ์ธรรมชาติ
การฉีดเชื้อนั้นมีโอกาสสำเร็จสูงมากกว่าวิธีธรรมชาติมากถึง 5 เท่า นั่นเป็นเพราะว่าในการปฏิสนธิตามธรรมชาตินั้น เชื้อจะต้องวิ่งเข้าไปในโพรงมดลูกเองและส่วนใหญ่เชื้อที่อ่อนแอมักจะตายก่อนที่จะไปถึงจุดหมายส่งผลให้ไม่เกิดการตั้งครรภ์ แต่การฉีดน้ำเชื้อนี้ช่วยคัดเลือกเชื้อที่แข็งแรงที่สุดก่อน จากนั้นจะนำเชื้อมาฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรงทำให้เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์สำเร็จมากขึ้น
ผู้ที่เหมาะสำหรับการรักษาด้วยการฉีดน้ำเชื้อ
- ฝ่ายหญิงที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี ที่มีปัญหาปากมดลูกหรือคอมดลูกตีบ
- มีภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง และ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
- มีท่อนำไข่ที่ดีอย่างน้อย 1 ข้าง หรือ ต้องปกติทั้งสองข้าง
- ฝ่ายชายมีน้ำเชื้อที่แข็งแรง เคลื่อนไหวรวดเร็ว และมีจำนวนต่อการหลั่ง 1 ครั้ง มากกว่า 5 ล้านตัวขึ้นไป
คนที่ไม่เหมาะกับวิธีการรักษาด้วยการฉีดน้ำเชื้อ
- ฝ่ายหญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี เนื่องจากหากมีอายุมากเกินการรักษาด้วยวิธีนี้จะสำเร็จน้อยลง
- มีท่อนำไข่หรือปีกมดลูก มีปัญหาและไม่สามารถใช้การได้
- ผู้ที่มีภาวะเยื้อมดลูกเจริญผิดที่
- ฝ่ายชายมีเชื้ออ่อน เคลื่อนที่ช้า และมีจำนวนต่อการหลั่ง 1 ครั้งน้อยกว่า 1 ล้านตัว
- ไม่สามารถหลั่งน้ำเชื้อได้
ข้อดีของการฉีดน้ำเชื้อ
- สามารถทำได้ง่าย สะดวก ไม่ซับซ้อน
- ปลอดภัย
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาไม่สูงมากนัก
- โอกาสตั้งครรภ์สำเร็จสูงกว่าวิธีธรรมชาติ
ข้อเสียของการฉีดน้ำเชื้อ
วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับฝ่ายผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปี เนื่องจากปัจจัยด้านอายุ มีผลต่อคุณภาพของไข่โดยตรง เพราะไข่ที่มีอายุมากจะทำให้เกิดการปฏิสนธิยาก จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้ดูแลตรวจร่างกายก่อนเข้ารับการรักษา ซึ่งจากที่พบ คนไข้ที่มีอายุ 30ปีขึ้นไป มักจะมีปัญหาเรื่องของไข่ที่มีอายุมาก มีเปลือกที่แข็งและหนาเกินไปจนอสุจิไม่สามารถเจาะเข้าไปทำการปฏิสนธิได้ ซึ่งหากเกิดจากสาเหตุนี้ แนะนำให้ใช้วิธีการรักษาโดยการทำอิ๊กซี่ (ICSI) แทน
และนอกจากนี้หากคนไข้เคยเข้ารับวิธีการรักษาด้วยวิธีการฉีดน้ำเชื้อ มาก่อนหน้านี้มากกว่า 4 รอบแต่ยังไม่สบผลสำเร็จ อาจหมายความว่าคู่สมรสนั้นกำลังประสบปัญหาการมีบุตรยากและจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายและระบบเจริญพันธุ์อื่นๆเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุและวิธีทางแก้ไขเหมาะสมที่สุดต่อไป