กินยาคุมบ่อยมีลูกยาก !?
เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นหูกับประโยคนี้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมายาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับความร้ายแรงของการทานยาคุมกำเนิดว่าอาจจะส่งผลต่อร่างกาย ทำให้เกิดปัญหา “ภาวะมีลูกยาก” ในอนาคต
วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับประโยคความเชื่อที่ว่า “กินยาคุมบ่อยมีลูกยาก” จริงหรือไม่? ยาคุมกำเนิดมีหน้าที่อย่างไร และส่งผลต่อระบบภายในของฝ่ายหญิงทำให้มีลูกยากจริงหรือไม่?
กินยาคุมบ่อยมีลูกยาก เชื่อได้แค่ไหน?
ความเชื่อเรื่อง กินยาคุมบ่อยมีลูกยาก เป็นความเชื่อที่มักจะได้ยินกันบ่อย เนื่องจากมีความคิดที่ว่าการทานยาคุมกำเนิดหรือการใช้ยาคุมกำเนิดเป็นเวลานานหลายๆ ปี ตัวยาจะทำให้ “มดลูกแห้ง ผนังมดลูกบาง” ส่งผลให้มีลูกได้ยากกว่าคนทั่วไป ความจริงแล้ว ยาคุมกำเนิดนั้นไม่มีผลต่อการทำให้เกิดภาวะมีลูกยากแต่อย่างใด!
เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะมีลูกยากนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ปัจจัยด้านอายุที่มากขึ้น ภาวะไข่มีเปลือกหนาแข็งจนอสุจิไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ และภาวะน้ำเชื้ออ่อน มีน้อย อสุจิเคลื่อนไหวช้า ไม่แข็งแรง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำมีลูกยากทั้งสิ้น
( มีอัณฑะข้างเดียว น้ำเชื้อพิการ มีลูกได้ ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว << อ่านต่อ )
( สเปิร์มไม่แข็งแรง อสุจิไม่มีสเปิร์ม น้ำเชื้ออ่อน มีลูกได้หรือไม่? << อ่านต่อ )
( มีปีกมดลูกข้างเดียวจะท้องได้ไหม ตัดปีกมดลูก 1 ข้าง สามารถมีลูกได้หรือไม่ << อ่านต่อ )
ยาคุมมีผลต่อการคุมกำเนิดยังไง?
ยาคุมกำเนิดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอยู่หลายประเภท ซึ่งในแต่ละชนิดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะและคุณสมบัติของยาขนิดนั้นๆ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีวิธีการใช้และระยะเวลาในการคงประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่แตกต่างกัน
1.ยาคุมแบบเม็ด
2.ยาคุมฉุกเฉิน
3.ยาคุมแบบฉีด
4.ยาคุมกำเนิดแบบฝัง
นิยมฝังไว้บริเวณที่ใต้ท้องแขน จะมีฤทธิ์คุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนานมากถึง 3 ปี หากต้องการมีลูกก็สามารถเอาออกได้ซึ่งหลังการถอดออกอาจจะมีภาวะไข่ไม่ตก ประจำเดือนขาด หรือมากะปริบกะปรอยแต่ก็จะกลับมาเป็นตามปกติ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน
ผลข้างเคียงหลังหยุดยาคุมกำเนิด
- ประจำเดือน : เมื่อหยุดการทานยาคุมกำเนิด อาจจะมีผลต่อการมีประจำเดือนในช่วงที่กินยาคุมนั้นเป็นปรับฮอร์โมนในร่างกายให้คงที่สม่ำเสมอ และเมื่อหยุดทานจึงอาจจะส่งผลให้ฮอร์โมนแปรปรวน ทำให้ประจำเดือนมาน้อยหรือกะปริบกะปรอย รอบเดือนสั้นลงกว่าเดิม เช่นเคยมา 5 วัน ก็อาจเหลือแค่ 3 วัน
- มีสิวเกิดขึ้นใหม่ : หลังหยุดยาคุมกำเนิด ในบางรายอาจจะเกิดสิวขึ้นบนบริเวณหน้า ซึ่งมาจากฮอร์โมนที่แปรปรวน ดังนั้นหลังหยุดยาควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการอักเสบเช่น นมและน้ำตาล เน้นอาหารที่เป็นโปรตีนที่ดีเช่น ทานเนื้อปลา และรักษาความสะอาดบนใบหน้าให้ดีก็จะสามารถช่วยให้อาการทุเลาลง
- ปวดท้องประจำเดือน หลังจากการหยุดยาคุมกำเนิดในบางรายอาจจะมีอาการของการปวดท้องในช่วง 1-2 วันแรกเนื่องจากเยื่อบุมดลูกจะผลิตสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) เข้าไปกระตุ้นให้มดลูกมีการบีบตัวมากขึ้น
ดังนั้นจากที่กล่าวในข้างต้นจะพบว่า การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานานๆ นั้น ไม่ได้ส่งผลก่อให้เกิดภาวะมีลูกยากแต่อย่างใด แต่ภาวะมีลูกยากนั้นมักมาจากปัจจัยอื่นๆ มากกว่า
ภาวะมีลูกยากที่เกิดจาก “ฝ่ายหญิง”
ส่วนใหญ่ภาวะมีลูกยากที่เกิดจากสุขภาพฝ่ายหญิงนั้นมักมาจากสาเหตุความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ มดลูก รังไข่ และท่อนำไข่ ซึ่งอาการเบื้องต้นตามที่ซักประวัติกลุ่มผู้หญิงที่มีลูกยาก คือ มักจะมีอาการของประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนแปรปรวน มาไม่ตรง นานๆ มาที นั่นอาจจะเกิดจากภาวะไข่ตกไม่สม่ำเสมอ หรือ ภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้มีลูกยาก เพราะกำหนดวันตกไข่ได้ยากกว่าปกติ
( ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีลูกยากไหม? << อ่านต่อ )
นอกจากนี้อาจจะเกิดจากโรคบางอย่าง เช่น โรคไทรอยด์ ฮอร์โมนโปรแลคตินสูง โรค PCOS เนื้องอกในมดลูก ซีสต์รังไข่ ท่อนำไข่อุดตัน พังผืดรัดท่อนำไข่ ช็อกโกแลตซีสต์ หรือมีประวัติเคยผ่าตัดอวัยวะอุ้งเชิงกราน ( ไส้ติ่ง เนื้องอกมดลูก หรือถุงน้ำรังไข่) โรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกินและน้ำหนักต่ำกว่าปกติ เพราะผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินหรือน้อยกว่าปกติ มักจะมีโอกาสตั้งครรภ์ต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 40% และในกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ และไทรอยด์ ก็เป็นสาเหตุทำให้มีลูกยากได้ และเมื่ออายุมากขึ้นระบบเจริญพันธุ์ในร่างกายก็มักจะเสื่อมลง คุณภาพของไข่และจำนวนของไข่ก็ถูกผลิตน้อยลง จึงทำให้การตั้งครรภ์ตามธรรมชาติน้อยลง และยังเสี่ยงต่อภาวะแท้งง่ายกว่าครรภ์ทั่วไปอีกด้วย
( อาหารบำรุงไข่ บำรุงมดลูก เร่งไข่ตก << อ่านต่อ )
ภาวะมีลูกยากที่เกิดจาก “ฝ่ายชาย”
ปัญหาส่วนใหญ่ที่มักจะพบเจอในฝ่ายชาย มักจะเกิดจาก “ระบบสืบพันธุ์ที่มีปัญหา” เช่น น้ำเชื้อน้อย อสุจิไม่แข็งแรง อวัยวะสืบพันธุ์ไม่แข็งตัว นอกจากนี้จะมาจากปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน ความดันหัวใจ มีประวัติเคยเป็นคางทูม ได้รับกระทบกระเทือนบริเวณอวัยวะเพศจากอุบัติเหตุ หรือการเล่นกีฬาที่ เช่น ปั่นจักรยาน ชกมวย ที่อาจทำให้ระบบสืบพันธุ์ในขั้นตอนการสร้างน้ำเชื้อผิดปกติ
หรือ นิสัยและพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว เช่น ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ สูบบุหรี่จัด ติดสารเสพติด มีความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น ไส้เลื่อนที่ถุงอัณฑะ เส้นเลือดขอดที่ถุงอัณฑะ หรือปัญหาตั้งแต่พันธุ์กรรมมีลูกยากตั้งแต่กำเนิด
( อาหารบำรุงอสุจิ ให้แข็งแรงเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้สมบูรณ์ << อ่านต่อ )
( สูบบุหรี่ ทำให้มีลูกยาก เป็นหมัน ภัยร้ายใกล้ตัวที่มาพร้อมกับควันบุหรี่ << อ่านต่อ )
( สังเกต อาการเสี่ยงเป็นหมัน อาการของคนเป็นหมัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหมัน << อ่านต่อ )
หากอยู่ในภาวะมีลูกยากควรทำอย่างไร
ในปัจจุปันมีวีธีการรักษากลุ่มสามีภรรยาที่มีลูกยากด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งมีให้เลือกถึง 3 วิธี คือ
1.IUI (Intra Uterine Insemination)
คือการปฏิสนธิภายในร่างกายที่ถือว่าใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุดโดยมีกระบวนการคือ แพทย์ผู้ดูแลจะทำการคัดเลือกน้ำเชื้อที่ข็งแรงที่สุดของฝ่ายชายมาฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง เพื่อช่วยลดระยะในการว่ายและยังลดความเสี่ยงของเชื้ออสุจิที่อาจจะตายก่อนจะปฏิสนธิได้ดีมากๆ ซึ่งวิธีนี้เป็นการเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้สูง เนื่องจากน้ำเชื้อจะเข้าผสมกับไข่ได้ง่ายขึ้น
( IUI การฉีดน้ำเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก << อ่านต่อ )
ข้อดี
- สามารถทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน
- ค่าใช้จ่ายไม่สูง
- ปลอดภัยเนื่องจากเป็นวิธีที่ใกล้เคียงกับการปฏิสนธิโดยวิธีธรรมชาติ
- ในขั้นตอนไม่จำเป็นต้องวางยาระงับความรู้สึก (ยาสลบ)
ข้อเสีย
- ฝ่ายหญิงอายุควรมีอายุอยู่ 22-25 เนื่องจากเป็นอายุของไข่ที่เหมาะสมที่จะปฏิสนธิที่สุด หากอายุเกิน 30 ปี ไข่จะเริ่มมีอายุเยอะขึ้นโอกาสสำเร็จก็จะลดลงตามลำดับ
- ฝ่ายชายที่มีน้ำเชื้ออ่อนมากๆ อาจจะไม่เหมาะกับวิธีนี้
- ไม่สามารถคัดกรองกลุ่มโรค HIV ได้
2.IVF (In Vitro Fertilization)
เป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายที่จะนำไข่และอสุจินำมา “ผสมกันเอง”ภายในหลอดแก้ว เมื่อเกิดการปฏิสนธิจนกลายเป็นตัวอ่อนแล้ว จึงทำการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาตร์จนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจึงย้ายตัวอ่อนฝังภายในโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์และพัฒนาสู่เป็นทารกต่อไป
( เด็กหลอดแก้ว IVF รักษาภาวะมีบุตรยากอย่างปลอดภัย ได้ผลจริง << อ่านต่อ )
ข้อดี
- เหมาะสำหรับฝ่ายหญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
- สามารถคัดกรองกลุ่มโรค HIV ได้
- ฝั่งผู้ชายที่มีเชื้ออสุจิอ่อน ไม่แข็งแรง หรือเป็นหมันก็สามารถทำได้ เนื่องจากแพทย์จะทำการคัดเชื้อที่แข็งแรงที่สุดมาใช้ ในกรณีที่ฝ่ายชายเป็นหมันแพทย์จะทำการใช้เข็มดูดน้ำเชื้อออกมาจากลูกอัณฑะโดยตรง
- เป็นวิธีการรักษา “ภาวะมีบุตรยาก” ที่ดีทีสุดในปัจจุบัน
ข้อเสีย
- ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
- ไม่เหมาะสำหรับฝ่ายหญิงที่มีอายุมาก หรือมีปัญหาเรื่องไข่ที่มีเปลือกแข็งและหนาจนอสุจิไม่สามารถเจาะเข้าไปทำการปฏิสนธิได้
- ในขั้นตอนจำเป็นต้องวางยาระงับความรู้สึก (ยาสลบ)
3.ICSI – Intracytoplasmic sperm injection
เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก IVF ซึ่งเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายที่มีวิธีการคล้ายกับการทำ IVF เกือบทุกประการ แต่ข้อแตกต่างคือ การทำ ICSI จะเป็นการคัดเลือกไข่กับอสุจิที่แข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุดนำมาปฏิสนธิด้วยวิธีการใช้เข็มเล็กๆ ที่ดูดตัวอสุจิที่คัดเลือกไว้ฉีดเข้าไปให้เนื้อไข่โดยตรงเพื่อก่อให้เกิดการปฏิสนธิ จากนั้นก็นำเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์จจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจึงย้ายตัวอ่อนฝังภายในโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์และพัฒนาสู่เป็นทารกต่อไป ซึ่งการทำ ICSI เป็นวิธีที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันเพราะช่วยแก้ปัญหาผู้ที่มีบุตรยากได้หลากหลายสาเหตุ
( ข้อดีของการทำอิ๊กซี่ที่คุณควรทราบก่อนที่จะตัดสินใจทำ << อ่านต่อ )
ข้อดี
- เหมาะสำหรับฝ่ายหญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป
- ฝ่ายหญิงที่มีไข่เปลือกแข็งหนาจนอสุจิไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ หรือเป็นผู้ที่มีปัญหาที่มดลูกก็สามารถทำได้
- ฝั่งผู้ชายที่มีเชื้ออสุจิอ่อน ไม่แข็งแรง หรือเป็นหมันก็สามารถทำได้ เนื่องจากแพทย์จะทำการคัดเชื้อที่แข็งแรงที่สุดมาใช้ ในกรณีที่ฝ่ายชายเป็นหมันแพทย์จะทำการใหชเข็มดูดน้ำเชื้อออกมาจากลูกอัณฑะโดยตรงเช่นเดียวกับวิธี IVF
- สามารถคัดกรองกลุ่มโรค HIV ได้ 99.9%*
………………………………………………
เพื่อไม่ให้พลาดความรู้ดี ๆ กด Like Page และอย่าลืม Subscribe
Worldwide IVF Channel ไว้เลยครับ
👉🏻 พอดแคสต์ของคนอยากมีลูก : https://bit.ly/3kdJI3K
………………………………………………
แพทย์ผู้เขียน
แพทย์ผู้เขียน
นพ.ธิติกรณ์ วาณิชย์กุล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวชศาสตร์
นพ.ธิติกรณ์ วาณิชย์กุล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวชศาสตร์